จากความซน ความซ่าส์ของเจ้าเหมียวที่ทั้งกระโดด ปีนป่าย หรือตั้งท่าซุ้มโจมตีเหยื่อด้วยความชำนาญ มาลองดูธรรมชาติของแมวกันว่า แมวบ้านที่เราเลี้ยงกันอยู่นี่ต่างจากแมวป่ายังไง แล้วมีอะไรถ่ายทอดถึงกันบ้าง
จากบทความของ Lonetreevet เล่าให้ฟังถึงความแตกต่างระหว่างแมวบ้านกับแมวป่าไว้ Cat club ขอสรุปความเหมือน ความต่าง ของแมวบ้านกับเหล่าต้นตระกูลที่ต่างมีเชื้อสายแมว ไม่ว่าจะเป็นสิงโต เสือ แมวป่า มาเล่าให้ฟังให้พอเข้าใจกันนะคะ ว่าต้นตระกูลความเป็นแมวป่ายังสืบเชื้อสายมาถึงแมวบ้านที่เราเลี้ยงกันในแบบที่แมวบ้านอาจเป็นแมวลูกครึ่งของแมวป่าเหล่านั้นเลยทีเดียว แม้เราจะรู้สึกว่า แมวบ้านออกจะงุงิน่ารัก ไม่เห็นจะเจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนสิงโต หรือดุร้ายอย่างเสือ แต่เอาเข้าจริงๆ มีหลายอย่างเลยล่ะที่คล้ายกันอยู่

สิ่งที่แตกต่างระหว่างแมวบ้านกับแมวป่า
มีการศึกษาที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ยืนยันว่าความแตกต่างระหว่างแมวบ้านกับแมวป่า ถูกควบคุมโดยยีนที่เป็นตัวกำหนดบุคลิก อาทิ ความดุดัน ดุร้าย ซึ่งแมวป่าจะดุกว่าโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ในขณะที่แมวบ้านจะผ่านการเรียนรู้ในเรื่องบ้านๆ ไปแล้ว อย่างการได้ขนมแมวหรือปลาทูเป็นรางวัลในเงื่อนไขบางอย่าง ทำให้แมวบ้านเรียนู้ที่จะปรับตัว และสนุกไปกับวิธีเล่นของคน หรือสัตว์เลี้ยงในบ้านได้ดีกว่าบรรดาแมวป่าต้นตระกูล
ความแตกต่างทางสรีระของแมวป่ากับแมวบ้าน
- ขนาดของหัวแมว (Brain Size) แม้จะเป็นโครงสร้างร่างกาย แมวป่ามีขนาดหัวและสมองใหญ่กว่าแมวบ้าน
- ม่านตาแมว (Pupil Shape) แมวบ้านที่เราเลี้ยงจะมีม่านตาเป็นเสี้ยวแบบแนวตั้ง ในขณะที่แมวป่าจะมีม่านตากลม ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ใน Journal Science Advance อธิบายเรื่องม่านตาที่ต่างกัน ว่าเป็นเพราะแมวทั้งสองมีการใช้ชีวิตที่ต่างกัน ทำให้ม่านตาวิวัฒนาการแตกต่างกัน
- เสียงคราง (The Purr) แมวบ้านจะครางในลำคอ ในขณะที่สิงโตจะคำราม นั่นล่ะ แตกต่างกันชัดเจนเลย นั่นเป็นเพราะโครงสร้างของช่องคอที่แตกต่างกัน
สิ่งที่เหมือนกันระหว่างแมวป่ากับแมวบ้าน

แมวกับเสือมี DNA ที่เหมือนกันถึง 95%
National Academy of Sciences
จากการศึกษาพบว่าเสือมีความใกล้เคียงกับ Big cat มาก จึงไม่แปลกที่พันธุกรรมหลายอย่างจะถ่ายทอดมาสู่แมวบ้านไปด้วยโดยปริยาย โดยมีสิ่งที่เหมือนกันหลายจุด อาทิ
การนอน – สัตว์ตระกูลแมวทั้งแมวป่าและแมวบ้าน ล้วนให้เวลาส่วนใหญ่กับการนอนถึง 16-20 ชั่วโมงต่อวัน คือ นอนเป็นหลักเหมีอนกันเป๊ะ
การได้กลิ่น – ทั้งแมวป่าและแมวบ้านมีจมูกที่ดีมาก และบางครั้งแมวทั้งสองยังใช้การอ้าปากช่วยในการดมกลิ่น
การกินอาหาร – แมวทั้งสองเหมือนกันคือการเป็นนักล่า อาหารหลักจึงเป็นเนื้อสัตว์ เพราะ ร่างกายแมวถูกออกแบบมาให้ย่อยเนื้อสัตว์ได้ดีกว่าผัก
การเลียตัว – แมวทั้งสองให้เวลากับการเลียตัวทำความสะอาดเหมือนกัน คือ ประมาณ 30-50% ในช่วงเวลาที่ตื่น
การเยื้องย่าง – แมวทั้งสองจะเยื้องย่างออกจากที่พักเพื่อออกล่าในช่วงเวลาเดียวกัน ในช่วงพลบค่ำ กลางคืน และรุ่งเช้า
การสร้างอาณาเขต – แมวทั้งสองจะใช้วิธีเดียวกันในการสร้างอาณาเขต เช่น การฉี่ การเอาหน้าถู การลับเล็บ เพื่อฝากกลิ่นของตัวเองจากต่อมที่แก้มและอุ้งเท้า
เสียงร้อง – แมวบ้านอาจใช้ร้องเหมียวๆ หรือร้องงึมงำในหมู่แมวกันเองเพื่อสื่อสาร แมวป่าก็เช่นกัน
เกมล่าอาหาร – แมวบ้านมักเล่นเกมล่าอาหารด้วยการจับหนู หรือจิ้งจก แล้วเอาไปซ่อน จะมีบางบ้านที่ชอบเอามาอวดเจ้าของ ซึ่งถ้าแมวเข้าสู่โหมดเอาหนู หรือจิ้งจกมาอวด รู้ไว้เถอะว่าแมวคุณพัฒนาเป็นแมวบ้านสมบูรณ์แบบแล้วล่ะ เพราะ แมวป่า จะเอาเหยื่อที่ล่าได้ไปฝังดิน เพื่อเก็บไว้สำหรับมื้อต่อไป
แมวนวด – ไม่มีใครรู้แน่ว่าทำไมแมวชอบนวด บางตัวนวด ทำไมบางตัวเฉยๆ ซึ่งอาจเป็นการแสดงออกของแมวที่มีต่อสิ่งนั้น แต่สำหรับแมวป่า จะใช้การนวดให้กันและกันเพื่อแสดงออกถึงความรัก งั้นเราก็พอจะสรุปได้สิ ว่าถ้าแมวนวด เป็นเพราะแมวรัก แม้บางทีจะลืมเก็บเล็บไปบ้างก็ตาม
แมวบ้าน เสือตัวน้อย

แหม ใครจะไปคิด ว่าแมวบ้านอย่างโกเมส ที่ทำตัวเป็นคุณชายชนาดนั้น แท้จริงจะมี DNA ของเสือตั้ง 95% มันเป็นความรู้ใหม่ที่เราและ Cat Club ได้รู้ และส่งต่อให้ทาสแมวทุกคนได้รู้ร่วมกัน ว่านี่เรากำลังเลี้ยงเสือน้อยในบ้านอยู่นะ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงธรรมดา มันให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และน่าเอ็นดูในคราวเดียวกันเลยนะว่ามั้ย
หนังสือแนะนำเพื่อรู้จักที่มาของแมวให้มากขึ้น
อยากรู้จักที่มาของแมวตั้งแต่จุดเริ่มต้นแบบละเอียด แนะหนังสือ “ใครคือเจ้าของบ้าน ฉันหรือแมว” เรื่องลึกๆ เกี่ยวกับแมว อ่านสนุกมาก
1 Pingback